
สวัสดีค่ะ ดิฉัน แพทย์หญิงชัญญาภัค ดวงใจ หรือ “หมอโม” ค่ะ ดิฉันเป็นแพทย์ผู้ก่อตั้ง DR.MO Clinic คลินิกเวชกรรมความงามที่เชียงใหม่ ซึ่งเปิดให้บริการมากว่า 23 ปี ด้วยประสบการณ์กว่า 23 ปี ในฐานะแพทย์ ทำให้ดิฉันได้พบเจอคนไข้มากมาย และตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม เพราะสุขภาพที่ดีเป็นพื้นฐานของความงามที่แท้จริง วันนี้หมอโมจึงขอพาทุกท่านมาทำความรู้จักกับโรคไหลตาย หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ “ผีแม่หม่าย” ภัยเงียบที่คร่าชีวิตคนไทยอย่างไม่รู้ตัว
โรคไหลตาย หรือ ผีแม่หม่าย คืออะไร?
โรคไหลตาย หรือที่แพทย์เรียกว่า ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน (Sudden Cardiac Arrest) เป็นภาวะที่หัวใจหยุดเต้นกะทันหัน โดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า ทำให้เลือดไม่สามารถสูบฉีดไปเลี้ยงร่างกายได้ ผู้ป่วยจะหมดสติ หยุดหายใจ และเสียชีวิตได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว หากไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที
ในประเทศไทย โรคไหลตายมักเกิดขึ้นในขณะนอนหลับ โดยเฉพาะในเพศชาย อายุระหว่าง 30-50 ปี ที่ดูแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว จึงเป็นที่มาของความเชื่อเรื่อง “ผีแม่หม่าย” ที่มาเอาชีวิตผู้ชายในยามวิกาล แต่ในความเป็นจริงแล้ว โรคไหลตาย มักมีสาเหตุมาจากโรคหัวใจ โดยเฉพาะ Brugada syndrome ซึ่งเป็นโรคหัวใจ ที่เกิดจากความผิดปกติ ของยีน ที่ควบคุม การทำงาน ของ เซลล์ หัวใจ

Brugada syndrome คืออะไร?
Brugada syndrome เป็นโรคหัวใจที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ทำให้เกิดความผิดปกติของระบบไฟฟ้าหัวใจโดยเฉพาะในช่วงที่หัวใจพักหรือเต้นช้า ส่งผลให้หัวใจห้องล่างเต้นผิดจังหวะอย่างรวดเร็ว เรียกว่าภาวะ Ventricular fibrillation ซึ่งเป็นสาเหตุของภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน
กลไกการเกิดโรคไหลตาย: ทำความเข้าใจการทำงานของหัวใจ
เพื่อให้เข้าใจกลไกการเกิดโรคไหลตาย เราจำเป็นต้องรู้จักการทำงานของหัวใจเสียก่อน หัวใจของเราประกอบด้วย 4 ห้อง ได้แก่ ห้องบนซ้าย-ขวา และห้องล่างซ้าย-ขวา การเต้นของหัวใจแต่ละครั้ง เกิดจากสัญญาณไฟฟ้าที่ถูกส่งผ่านระบบนำไฟฟ้า เริ่มจากหัวใจห้องบนไปยังหัวใจห้องล่างทำให้หัวใจหดตัวและคลายตัว เพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกาย
ในภาวะปกติหัวใจจะเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอควบคุมโดยระบบไฟฟ้าที่ซับซ้อนและแม่นยำ แต่ในโรคไหลตาย หรือภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน ระบบไฟฟ้านี้จะเกิดความผิดปกติขึ้น ทำให้หัวใจห้องล่างเต้นเร็วและไม่เป็นจังหวะ เรียกว่า ภาวะ Ventricular fibrillation ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคไหลตาย

กลไกการเกิดโรคไหลตาย สามารถอธิบายโดยละเอียดดังนี้
- ความผิดปกติของระบบไฟฟ้าหัวใจ: เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ความผิดปกติของยีนที่ควบคุมการทำงานของเซลล์หัวใจ โรคหัวใจชนิดอื่นๆ ภาวะขาดอิเล็กโทรไลต์หรือการใช้ยาบางชนิด
- หัวใจห้องล่างเต้นผิดจังหวะ (Ventricular fibrillation): สัญญาณไฟฟ้าที่ผิดปกติจะกระตุ้นให้หัวใจห้องล่างเต้นเร็ว และไม่เป็นจังหวะทำให้หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้
- การไหลเวียนเลือดหยุดชะงัก: เมื่อหัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้ ออกซิเจนจะไม่ถูกส่งไปยังสมองและอวัยวะสำคัญต่างๆ ของร่างกาย
- หมดสติและหยุดหายใจ: ภายในไม่กี่วินาทีผู้ป่วยจะหมดสติและหยุดหายใจ เนื่องจากสมองขาดออกซิเจน
- เสียชีวิต: หากไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที ผู้ป่วยจะเสียชีวิตภายในเวลาไม่กี่นาที
ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดโรคไหลตาย
- การนอนหลับ: ขณะนอนหลับ หัวใจจะเต้นช้าลงซึ่งเป็นช่วงที่ความผิดปกติของระบบไฟฟ้าหัวใจจะเด่นชัดมากขึ้น
- การดื่มแอลกอฮอล์: แอลกอฮอล์มีผลต่อระบบไฟฟ้าหัวใจ และอาจกระตุ้นให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
- การใช้สารเสพติด: สารเสพติดบางชนิด เช่น โคเคน มีผลต่อระบบไฟฟ้าหัวใจและอาจกระตุ้นให้ เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
- ความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอ: อาจทำให้ระบบประสาทอัตโนมัติทำงานผิดปกติ ส่งผลต่อจังหวะการเต้นของหัวใจ
ความเข้าใจกลไกการเกิดโรคไหลตาย ช่วยให้เราสามารถป้องกันและลดความเสี่ยงในการเกิดโรค ได้ โดยการหลีกเลี่ยง ปัจจัยเสี่ยงดูแลสุขภาพให้แข็งแรงและตรวจสุขภาพหัวใจเป็นประจำ
อาการของ Brugada syndrome

ผู้ป่วย Brugada syndrome ส่วนใหญ่จะไม่มีอาการแสดงออกชัดเจน ทำให้ยากต่อการวินิจฉัยแต่บางรายอาจมีอาการ ดังนี้
- ใจสั่น
- วิงเวียน
- เป็นลม
- ชัก
อาการเหล่านี้ มักเกิดขึ้นในช่วงที่หัวใจเต้นช้า เช่น ขณะนอนหลับหรือพักผ่อน เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าวความผิดปกติของระบบไฟฟ้าหัวใจจะเด่นชัดมากขึ้น ในรายที่มีอาการรุนแรงอาจนำไปสู่ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันและเสียชีวิตได้
การวินิจฉัย Brugada Syndrome: ค้นหาสาเหตุที่ซ่อนอยู่
Brugada syndrome เป็นภัยเงียบที่มักไม่แสดงอาการ ดังนั้นการวินิจฉัยโรคจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน แพทย์จะใช้หลายวิธีในการวินิจฉัย Brugada syndrome ดังนี้
1. การซักประวัติและตรวจร่างกาย
- ซักประวัติ: แพทย์จะซักประวัติอย่างละเอียด รวมถึง
- ประวัติอาการ: เช่น ใจสั่น วิงเวียน เป็นลม ชักหรือหายใจลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่หัวใจเต้นช้า เช่น ขณะนอนหลับหรือพักผ่อน
- ประวัติโรคประจำตัว: โรคประจำตัวบางชนิดอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิด Brugada syndrome เช่น โรคหัวใจ โรคไทรอยด์ เป็นต้น
- ประวัติการใช้ยา: ยาบางชนิดอาจกระตุ้นให้เกิดอาการของ Brugada syndrome เช่น ยาแก้แพ้ ยาต้านเศร้า
การวินิจฉัย Brugada Syndrome - ประวัติครอบครัว: ประวัติครอบครัวเป็นโรคไหลตาย Brugada syndrome หรือโรคหัวใจ อื่นๆ
- ตรวจร่างกาย: แพทย์จะตรวจร่างกายทั่วไป เช่น การวัดชีพจร การฟังเสียงหัวใจ และปอดเพื่อหาความผิดปกติเบื้องต้น
2. การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG)
การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ หรือ ECG เป็นการตรวจที่สำคัญในการวินิจฉัย Brugada syndrome โดยแพทย์จะวิเคราะห์ลักษณะของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เพื่อดูรูปแบบที่บ่งชี้ถึงความผิดปกติที่สอดคล้องกับ Brugada syndrome เช่น รูปแบบ Type 1 Brugada ECG pattern ซึ่งมีลักษณะเฉพาะคือการยกตัวขึ้นของช่วง ST segment ใน lead V1-V3
3. การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง (Echocardiogram)
การตรวจ Echocardiogram ใช้คลื่นเสียงในการสร้างภาพของหัวใจเพื่อตรวจดูโครงสร้างและการทำงานของหัวใจ เช่น ขนาดของหัวใจความหนาของผนังหัวใจ การทำงานของลิ้นหัวใจและการบีบตัวของหัวใจ การตรวจนี้ช่วยให้แพทย์สามารถประเมินความผิดปกติของโครงสร้างหัวใจที่อาจเป็นสาเหตุของอาการต่างๆ ได้
4. การตรวจระบบไฟฟ้าในหัวใจโดยการใส่สายเข้าไปตรวจภายในหัวใจ (Electrophysiology study)
การตรวจ Electrophysiology study เป็นการตรวจที่ละเอียดมากขึ้นเพื่อประเมินระบบไฟฟ้าในหัวใจโดยแพทย์จะใส่สายสวนขนาดเล็กเข้าไปในหัวใจผ่านทางหลอดเลือดดำ เพื่อบันทึกสัญญาณไฟฟ้าและกระตุ้นหัวใจให้เต้นผิดจังหวะ เพื่อดูว่าหัวใจมีแนวโน้มที่จะเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะรุนแรง หรือไม่การตรวจนี้มักใช้ในผู้ป่วยที่สงสัยว่ามีภาวะ Brugada syndrome แต่ผลการตรวจ ECG ยังไม่ชัดเจน
5. การตรวจทางพันธุกรรม (Genetic testing)
การตรวจ Genetic testing เป็นการตรวจหาการกลายพันธุ์ในสารพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับ Brugada syndrome การตรวจนี้ช่วยยืนยันการวินิจฉัยและประเมินความเสี่ยงในสมาชิกในครอบครัวได้
การวินิจฉัย Brugada syndrome ต้องอาศัยการตรวจหลายอย่างประกอบกัน แพทย์จะพิจารณาจากประวัติอาการผลการตรวจร่างกาย และผลการตรวจพิเศษต่างๆ เพื่อให้ได้การวินิจฉัยที่ถูกต้องและแม่นยำ
การรักษา Brugada Syndrome: ปกป้องหัวใจ เสริมความมั่นใจ
แม้ Brugada syndrome จะเป็นโรคหัวใจที่อันตราย แต่ปัจจุบันมีวิธีการรักษาที่ช่วยลดความเสี่ยงใน การเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันและช่วยให้ผู้ป่วยสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติ โดยการรักษาจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคและความเสี่ยงของแต่ละบุคคล

1. การฝังเครื่องกระตุกหัวใจอัตโนมัติ (Implantable Cardioverter Defibrillator: ICD)
การฝัง ICD เป็นวิธีการรักษาหลักสำหรับผู้ป่วย Brugada syndrome โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่เคยมีภาวะหัวใจหยุดเต้นหรือมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน ICD เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็กที่ฝังไว้ใต้ผิวหนังบริเวณหน้าอก โดยมีสายเชื่อมต่อเข้าไปในหัวใจ ICD จะตรวจจับจังหวะการเต้นของหัวใจอย่างต่อเนื่องและจะส่งกระแสไฟฟ้าไปช็อกหัวใจเมื่อหัวใจเต้นผิดจังหวะเพื่อให้หัวใจกลับมาเต้นเป็นจังหวะปกติ
ข้อดีของการฝัง ICD
- ช่วย ป้องกัน การเสียชีวิต จาก ภาวะ หัวใจหยุดเต้น เฉียบพลัน ได้ อย่างมีประสิทธิภาพ
- ช่วยให้ ผู้ป่วย มีความมั่นใจ ใน การใช้ชีวิต ประจำวัน มากขึ้น
ข้อเสียของการฝัง ICD
- อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัด เช่น การติดเชื้อ เลือดออก
- อาจต้องปรับพฤติกรรมบางอย่าง เช่น หลีกเลี่ยงการเข้าใกล้สนามแม่เหล็กแรงสูง
- มีค่าใช้จ่ายสูง
2. การใช้ยา
แพทย์อาจพิจารณาให้ยาบางชนิดเพื่อควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจในผู้ป่วย Brugada syndrome เช่น
- ยาต้านหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Antiarrhythmic drugs): เช่น Quinidine, Procainamide ช่วยลดโอกาสการเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
- ยาเบต้าบล็อกเกอร์ (Beta-blockers): เช่น Propranolol, Metoprolol ช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิต
อย่างไรก็ตาม ยาไม่สามารถป้องกันการเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันได้อย่างสมบูรณ์และอาจมีผลข้างเคียงได้ ดังนั้นการใช้ยาควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
3. การจี้ไฟฟ้าหัวใจ (Catheter ablation)
การจี้ไฟฟ้าหัวใจเป็นการรักษาโดยการใช้สายสวนเข้าไปในหัวใจผ่านทางหลอดเลือดและปล่อยพลังงานคลื่นวิทยุ เพื่อทำลายบริเวณที่ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ การรักษานี้อาจช่วยลดโอกาสการเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะในผู้ป่วย Brugada syndrome ได้ แต่ยังต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันประสิทธิภาพและความปลอดภัย
4. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
นอกจากการรักษาด้วยวิธีข้างต้นแล้วการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมก็เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงใน การเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันในผู้ป่วย Brugada syndrome ได้ เช่น
- หลีกเลี่ยง ปัจจัย ที่ กระตุ้น ให้ เกิด อาการ: เช่น การ ดื่มแอลกอฮอล์ การ ใช้สารเสพติด การ ใช้ยา บางชนิด ความเครียด และ การ พักผ่อน ไม่เพียงพอ
- ดูแล สุขภาพ ให้แข็งแรง: รับประทานอาหาร ที่ มีประโยชน์ ออกกำลังกาย สม่ำเสมอ นอนหลับ พักผ่อน ให้เพียงพอ และ จัดการ ความเครียด
- พบแพทย์ ตาม นัดหมาย อย่างสม่ำเสมอ: เพื่อ ติดตาม อาการ และ รับการรักษา อย่าง ต่อเนื่อง
การเลือก วิธีการ รักษา Brugada syndrome ที่ เหมาะสม ขึ้นอยู่กับ หลายปัจจัย เช่น ความรุนแรง ของ โรค ความเสี่ยง ของ แต่ละบุคคล และ สุขภาพ โดยรวม ควรปรึกษา แพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อ รับ คำแนะนำ และ วางแผน การรักษา ที่ เหมาะสม ที่สุด
อาการของ Brugada syndrome สัญญาณเตือนภัยที่อาจมองข้าม
Brugada syndrome เป็นโรคหัวใจที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ทำให้เกิดความผิดปกติของระบบไฟฟ้าหัวใจ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน ผู้ป่วย Brugada syndrome ส่วนใหญ่มักไม่มีอาการแสดงออกชัดเจน ทำให้ยากต่อการวินิจฉัยแต่ในบางรายอาจมีอาการเตือนที่บ่งบอกถึงความผิดปกติของหัวใจ ดังนี้
อาการทั่วไป
- ใจสั่น (Palpitations): ผู้ป่วยอาจรู้สึกหัวใจเต้นเร็วหรือเต้นผิดจังหวะ เป็นพักๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่หัวใจเต้นช้า เช่น ขณะนอนหลับหรือพักผ่อน
- วิงเวียนศีรษะ (Dizziness): ผู้ป่วยอาจรู้สึกวิงเวียนคล้ายจะเป็นลม เนื่องจากหัวใจสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ
- เป็นลมหมดสติ (Syncope): ในกรณีที่หัวใจเต้นผิดจังหวะรุนแรง ผู้ป่วยอาจเป็นลมหมดสติไปชั่วขณะ
- ชัก (Seizures): ในบางรายอาจมีอาการชักร่วมด้วย เนื่องจากสมองขาดออกซิเจนชั่วคราว
อาการเฉพาะที่ควรสังเกต
- หายใจลำบากตอนกลางคืน: ผู้ป่วยอาจมีอาการหายใจลำบากหรือหยุดหายใจ เป็นพักๆ ขณะ นอนหลับเรียกว่า ภาวะ Sleep apnea ซึ่งเป็นอาการที่พบได้บ่อยในผู้ป่วย Brugada syndrome
- เจ็บหน้าอกหรือแน่นหน้าอก: ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการเจ็บหรือแน่นหน้าอก คล้ายกับอาการ ของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
หากคุณหรือคนใกล้ชิด มีอาการดังกล่าวข้างต้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีประวัติครอบครัวเป็นโรคไหลตายหรือหัวใจเต้นผิดจังหวะ ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างเหมาะสม
สิ่งสำคัญที่ควรจำเกี่ยวกับอาการของ Brugada syndrome
- ผู้ป่วยส่วนใหญ่ ไม่มีอาการ: Brugada syndrome เป็นโรคที่อันตรายเพราะผู้ป่วย ส่วนใหญ่จะไม่มีอาการแสดงออกใดๆ จนกระทั่งเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน
- อาการมักเกิดขึ้นในช่วงที่หัวใจเต้นช้า: เช่น ขณะนอนหลับหรือพักผ่อน
- อาการอาจไม่เฉพาะเจาะจง: อาการบางอย่าง เช่น ใจสั่น วิงเวียน เป็นลม อาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ ได้เช่นกัน ดังนั้นการตรวจวินิจฉัยโดยแพทย์จึงเป็นสิ่งสำคัญ
การรู้เท่าทันอาการของ Brugada syndrome หรือโรคไหลตายช่วยให้ สามารถวินิจฉัยและรักษาได้ อย่างทันท่วงทีซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน และเสียชีวิตได้
หมายเหตุ: บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลทั่วไป ไม่ควรถือเป็นคำแนะนำทางการแพทย์ โปรดปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจทำการรักษาใดๆ
FAQ
เกี่ยวกับโรคไหลตาย
- โรคไหลตายคืออะไร?
- ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน ทำให้เลือดไม่สามารถสูบฉีดไปเลี้ยงร่างกายได้ ผู้ป่วยจะหมดสติและเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว
- โรคไหลตายเกิดจากอะไร?
- เกิดจากความผิดปกติของระบบไฟฟ้าหัวใจ เช่น Brugada syndrome, โรคหัวใจชนิดอื่นๆ, ยาบางชนิด, สารเสพติด
- ใครบ้างที่มีความเสี่ยงต่อโรคไหลตาย?
- ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคไหลตาย, เพศชาย, อายุ 30-50 ปี, ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์จัด, ผู้ที่ใช้สารเสพติด, ผู้ที่มีโรคหัวใจ
- อาการของโรคไหลตายมีอะไรบ้าง?
- มักไม่มีสัญญาณเตือน แต่บางรายอาจมีใจสั่น วิงเวียน เป็นลม ชัก หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก
- จะป้องกันโรคไหลตายได้อย่างไร?
- ตรวจสุขภาพหัวใจเป็นประจำ, หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง, ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง, พบแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติ
เกี่ยวกับ Brugada syndrome
- Brugada syndrome คืออะไร?
- โรคหัวใจที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ทำให้หัวใจห้องล่างเต้นผิดจังหวะ เป็นสาเหตุของภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน
- อาการของ Brugada syndrome มีอะไรบ้าง?
- ส่วนใหญ่ไม่มีอาการ บางรายอาจมีใจสั่น วิงเวียน เป็นลม ชัก โดยเฉพาะขณะนอนหลับหรือพักผ่อน
- Brugada syndrome วินิจฉัยได้อย่างไร?
- ซักประวัติ, ตรวจร่างกาย, ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG), ตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียง (Echocardiogram), ตรวจระบบไฟฟ้าหัวใจ, ตรวจทางพันธุกรรม
- Brugada syndrome รักษาอย่างไร?
- ฝังเครื่องกระตุกหัวใจ (ICD), ใช้ยา, จี้ไฟฟ้าหัวใจ, ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
เกี่ยวกับ DR.MO Clinic
- DR.MO Clinic ตั้งอยู่ที่ไหน?
- ปรึกษา “หมอโม” ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย
Facebook: http://m.me/DoctorMoClinic
Line: https://lin.ee/iPZJnuM หรือ @doctormo (มี @ ด้วย)
โทร: 053-244208 , 082-8890692
เวลาทำการ: วันจันทร์ – วันเสาร์ เวลา 10:00 – 20:00 น.
ที่ตั้ง: DR.MO CLINIC ตั้งอยู่โครงการ Star Avenue 1 (ใกล้กับโรงเรียนมงฟอร์ตมัธยม) Location: https://g.co/kgs/MRDzT5
- ปรึกษา “หมอโม” ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย
- ใครคือคุณหมอโม?
- พญ. ชัญญาภัค ดวงใจ เจ้าของ DR.MO Clinic มีประสบการณ์ด้านเวชกรรมความงามกว่า 23 ปี