Dr.mo clinic logo
Blog

หมดไฟ ไปเดินป่า ใบสั่งยาแบบใหม่ ให้ธรรมชาติบำบัด แก้กายใจเหนื่อยล้า

หมดไฟ ไปเดินป่า ใบสั่งยาแบบใหม่ ให้ธรรมชาติบำบัด แก้กายใจเหนื่อยล้า
หมดไฟ ไปเดินป่า ใบสั่งยาแบบใหม่ ให้ธรรมชาติบำบัด แก้กายใจเหนื่อยล้า

ในยุคที่ชีวิตเต็มไปด้วยความเร่งรีบและความเครียด การดูแลสุขภาพกลายเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะเมื่อเรารู้สึกหมดไฟ หรือเหนื่อยล้า การเดินป่า เป็นหนึ่งในวิธีการบำบัดที่สามารถช่วยฟื้นฟูทั้งร่างกายและจิตใจได้อย่างมีประสิทธิภาพเพราะสิ่งที่เราจะได้นั้นมากกว่าเเค่การรักษา คือ

  • สัมผัสกับธรรมชาติ : การเดินป่าช่วยให้เราได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ซึ่งมีผลดีต่อสุขภาพจิต ช่วยลดความเครียดและเพิ่มความรู้สึกสงบสุขในจิตใจ
  • ออกกำลังกายที่ดี : การเดินป่าเป็นการออกกำลังกายที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและระบบหัวใจ
  • ลดอาการเหนื่อยล้า : หลักฐานทางวิทยาศาสตร์แสดงให้เห็นว่าการใช้ธรรมชาติมาเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพสามารถช่วยลดอาการเหนื่อยล้าและเพิ่มพลังงานได้อย่างรวดเร็ว
  • กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน :
    การใช้เวลาในธรรมชาติยังช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ส่งเสริมสุขภาพจิตที่ดีมากขึ้น

การออกไปเดินป่าไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณได้พักผ่อนจากความเครียดในชีวิตประจำวัน แต่ยังเป็นโอกาสในการเชื่อมต่อกับตัวเองและคนรอบข้างในบรรยากาศที่ผ่อนคลาย หมอโม (พญ. ชัญญาภัค ดวงใจ) จาก DR.MO Clinic ขอแนะนำว่า “การดูแลสุขภาพควรมีองค์ประกอบหลายด้าน รวมถึงการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการใช้เวลาในธรรมชาติเพื่อฟื้นฟูจิตใจ ด้วยเหตุนี้ หากคุณรู้สึกหมดไฟหรือเหนื่อยล้า ลองออกไปเดินป่ากันค่ะ อาจจะเป็นใบสั่งยาที่คุณต้องการเพื่อฟื้นฟูทั้งร่างกายและจิตใจอย่างแท้จริงได้ค่ะ

คลิกเรื่องที่ต้องการอ่าน!

Social Prescribing แนวทางในการดูแลสุขภาพ

Social Prescribing เป็นกระบวนการที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ เช่น แพทย์และพยาบาล ส่งต่อผู้ป่วยไปยังกลุ่มหรือองค์กรที่ให้บริการนอกเหนือจากการรักษาทางการแพทย์ เพื่อให้ผู้ป่วยได้ทำกิจกรรมที่จะส่งเสริมสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ เช่น การทำสวน การอ่านหนังสือ และการออกกำลังกาย ฯลฯ กิจกรรมเหล่านี้ช่วยให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในสังคมและลดความเหงา รวมถึงช่วยฟื้นฟูสุขภาพจิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ การสั่งจ่ายยาทางสังคมไม่เพียงแต่ช่วยให้ผู้ป่วยมีสุขภาวะที่ดีขึ้น แต่ยังมีประโยชน์หลายประการ เช่น

  • กระฉับกระเฉงมากขึ้น

การเดินป่าเป็นกิจกรรมที่ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นและกระฉับกระเฉงมากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและระบบหัวใจ

  • มีความเชื่อมโยงทางสังคมขึ้น

การเดินป่ากับเพื่อนหรือครอบครัวสร้างโอกาสในการสื่อสารและสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ช่วยให้เรามีความสุขและรู้สึกถึงการสนับสนุนจากคนรอบข้าง

  • สุขภาพดีขึ้น

การใช้เวลาท่ามกลางธรรมชาติช่วยลดความดันโลหิต และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้เรามีสุขภาพที่ดีขึ้นในระยะยาว

  • มีชีวิตที่ดีและมีอิสระมากขึ้น

การเดินป่าเปิดโอกาสให้เราได้สัมผัสกับธรรมชาติอย่างแท้จริง ช่วยให้เรารู้สึกมีอิสระ และสามารถหลีกหนีจากความเครียดในชีวิตประจำวันได้

  • สุขภาพจิตดีขึ้น

ธรรมชาติเป็นยาที่ดีที่สุดสำหรับจิตใจ การเดินป่าช่วยลดอาการวิตกกังวลและซึมเศร้า ทำให้เรารู้สึกสงบและมีสมาธิมากขึ้น

  • มีสภาพการเงินดีขึ้น

การใช้เวลาหยุดงานเพื่อไปเดินป่าไม่จำเป็นต้องใช้เงินมาก เพียงแค่เตรียมตัวให้พร้อมก็สามารถสนุกกับกิจกรรมนี้ได้ ทำให้เราไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงในการพักผ่อน

Social Prescribing แนวทางในการดูแลสุขภาพ
Social Prescribing แนวทางในการดูแลสุขภาพ

ติดตามข้อมูลข่าวสารเรื่องสุขภาพที่ เพจ : หมอโม อโรคา l Doctor Mo Story

Social Prescribing จ่ายยาด้วยกิจกรรม สู่ทางเลือกใหม่ “ใบสั่งยาเดินป่า”

การที่เราต้องเผชิญกับความเครียดและปัญหาสุขภาพจิตที่เพิ่มขึ้น การดูแลสุขภาพด้วยวิธีการที่แตกต่างออกไปเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น หนึ่งในแนวทางที่น่าสนใจคือ Social Prescribing หรือการสั่งจ่ายยาด้วยกิจกรรมทางสังคม ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้ผู้ป่วยเข้าร่วมกิจกรรมที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพกายและใจ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพายาเพียงอย่างเดียว

กิจกรรมที่เน้นธรรมชาติ

หนึ่งในชุดกิจกรรมที่ได้รับความนิยมคือ กิจกรรมที่เน้นธรรมชาติ เช่น การเดินป่า ซึ่งช่วยให้ผู้เข้าร่วมได้สัมผัสกับธรรมชาติและฟื้นฟูทั้งร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่เราใช้ชีวิตในเมืองมากขึ้น การได้ออกไปสัมผัสธรรมชาติสามารถทำให้รู้สึกสงบและผ่อนคลาย “ใบสั่งยาเดินป่า” ไม่ใช่เพียงแค่การหยุดพักผ่อน แต่เป็นแนวทางใหม่ในการดูแลสุขภาพที่สามารถช่วยให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้น ผ่านการสัมผัสธรรมชาติและการทำกิจกรรมทางสังคม ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพแบบองค์รวม

การสั่งจ่ายยาด้วยธรรมชาติ (Nature Prescription) เทรนด์สุขภาพ Wellness ที่กำลังมาแรงทั่วโลก

การสั่งจ่ายยาด้วยการให้ออกไปพบธรรมชาติ (Prescribing nature) ถูกจัดให้เป็น 1 ใน 8 เทรนด์ด้านสุขภาพและสุขภาวะ (Global Wellness Trend) ประจำปี 2019 แต่การใช้ธรรมชาติบำบัดไม่ใช่เรื่องใหม่

การอาบป่า (Forest Bathing)

การอาบป่า (Forest Bathing)
การอาบป่า (Forest Bathing)

ในญี่ปุ่นได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจให้ปกติและลดความดันโลหิต ลดการผลิตฮอร์โมนความเครียด เพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน และส่งเสริมสภาพจิตใจที่ดี การอาบป่า โดยพื้นฐานแล้วคือการใช้เวลาอยู่ท่ามกลางต้นไม้ สัมผัสธรรมชาติ กิจกรรมนี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของโครงการสาธารณสุขแห่งชาติในญี่ปุ่นในปี 1982 เมื่อกระทรวงป่าไม้ได้บัญญัติวลี shinrin-yoku (Shinrin แปลว่า ป่า และ Yoku แปลว่า อาบ) และส่งเสริมเส้นทางเดินเข้าป่าเพื่อกิจกรรมอาบป่าบำบัด การบำบัดวิธีนี้ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายจนถึงปัจจุบัน ไม่เพียงแต่ในญี่ปุ่น แต่เป็นวิธีการรักษาที่ได้รับการยอมรับในโลกตะวันตก เช่น สหรัฐอเมริกา ด้วย และในประเทศไทยเอง ก็มีกลุ่มบุคคลที่จัดกิจกรรมให้ผู้ที่สนใจเข้าร่วม เช่น กลุ่มอาบป่ากาญจนบุรี

โปรแกรม Park Prescription (ParkRx) หรือ การสั่งจ่ายยาให้เดินป่า

เป็นแนวทางที่เกิดขึ้นเพื่อส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี โดยมีการดำเนินการในสวนสาธารณะและอุทยานแห่งชาติทั่วสหรัฐอเมริกามากกว่า 35 รัฐ โปรแกรมนี้ได้รับการสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ ผู้ดูแลพื้นที่ป่า และองค์กรต่างๆ ที่มุ่งหวังให้ประชาชนได้สัมผัสกับธรรมชาติและประโยชน์ต่อสุขภาพจากการใช้เวลานอกบ้าน

ในปี 2013 มีการจัดตั้งโครงการระดับชาติในชื่อ National ParkRx Initiative และ Park Rx America เพื่อรวมโปรแกรมสุขภาพที่กระจัดกระจายอยู่ให้มีความเป็นระบบและสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดยมีฐานข้อมูลเครือข่ายการจ่ายยาให้เดินป่าบนเว็บไซต์ ParkRx.org ปัจจุบัน สหรัฐอเมริกามีโปรแกรม ParkRx มากกว่า 75-100 แห่ง ซึ่งได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในการส่งเสริมสุขภาพทั้งทางกายและจิตใจ

การใช้ธรรมชาติในการรักษาไม่เพียงแต่ช่วยลดความเครียด แต่ยังช่วยปรับปรุงสุขภาพโดยรวม เช่น ลดระดับคอร์ติซอล ลดความดันโลหิต และส่งเสริมสุขภาพหัวใจ การออกกำลังกายกลางแจ้ง เช่น การเดิน สามารถทำให้ผู้เข้าร่วมรู้สึกสดชื่นและมีพลังมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทำร่วมกับกิจกรรมกลุ่มหรือกับครอบครัว

แนวทางและกิจกรรมหลัก

การสั่งจ่ายยาด้วยธรรมชาติมีความน่าสนใจเนื่องจากสามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่ เช่น สวนสาธารณะและพื้นที่กลางแจ้ง เพื่อสร้างพฤติกรรมสุขภาพที่ดีขึ้น โดยไม่ต้องลงทุนในโครงสร้างหรืออุปกรณ์ใหม่ กิจกรรมหลักที่รวมอยู่ในโปรแกรมนี้ ได้แก่

  • งานอนุรักษ์ธรรมชาติ (Conservation)

  • การสัมผัสความเป็นป่า (Wilderness Focused)

  • การปลูกพืชและทำสวน (Horticulture and Gardening)

  • ดูแลสัตว์ในฟาร์ม (Care Farming)

  • การออกกำลังกายแบบธรรมชาติ (Exercise Focused)

  • การเล่นกีฬาที่ได้สัมผัสธรรมชาติ (Sport Aligned)

  • การชื่นชมธรรมชาติ (Nature Appreciation)

  • กิจกรรมที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity Focused)

  • บูรณาการการบำบัดทางเลือก (Integrating Alternative Therapies)

  • บูรณาการการบำบัดด้วยการพูดคุย (Integrating Talking Therapies)

การใช้ธรรมชาติเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการรักษาไม่เพียงแต่ช่วยลดความเครียด แต่ยังส่งผลดีต่อสุขภาพกายและจิตใจ เช่น การอาบป่า (Forest Bathing) ที่ช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิต นอกจากนี้ การใช้เวลาอยู่กับธรรมชาติอย่างน้อย 2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ยังช่วยส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งแพทย์และผู้ให้บริการด้านสุขภาพสามารถใช้แนวทางนี้เป็นตัวเลือกในการรักษาผู้ป่วย โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ผู้คนต้องเผชิญกับความเครียดจากสถานการณ์ต่างๆ ทำให้หลายคนเริ่มเห็นคุณค่าของธรรมชาติมากขึ้น โดยรวมแล้ว การสั่งจ่ายยาด้วยธรรมชาติเป็นแนวทางที่มีศักยภาพในการส่งเสริมสุขภาพแบบองค์รวม และช่วยให้ผู้คนกลับไปสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมที่มีประโยชน์ต่อทั้งร่างกายและจิตใจได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง

“หยุดงาน 1 วันแล้วไปเดินป่า” ใบสั่งยาแบบใหม่จากหมอ

ในรัฐเซาท์ดาโกตา สหรัฐอเมริกา ได้มีการเปิดตัวโครงการใหม่ที่เรียกว่า ParkRx หรือ “ใบสั่งยาให้ไปเดินป่า” ซึ่งเป็นแนวทางการรักษาที่ไม่เพียงแต่เน้นการใช้ยา แต่ยังส่งเสริมให้ผู้ป่วยได้สัมผัสกับธรรมชาติ โดยแพทย์จะออกใบสั่งให้ผู้ป่วยหยุดงาน 1 วัน เพื่อไปเยี่ยมชมอุทยานหรือสวนสาธารณะ

โครงการนี้เริ่มต้นจากความเข้าใจว่า การใช้เวลาท่ามกลางธรรมชาติสามารถช่วยฟื้นฟูสุขภาพกายและจิตใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในยุคที่ผู้คนต้องเผชิญกับความเครียดและภาวะซึมเศร้า ตั้งแต่ปี 2558 ที่เริ่มมีการนำร่อง จนถึงปี 2560 ได้มีการร่วมมือระหว่างกรมสุขภาพของรัฐและกลุ่มสวน-ตกปลา-กีฬาแห่งเซาท์ดาโกตา เพื่อกระตุ้นให้แพทย์ทั่วรัฐเริ่มใช้ใบสั่งยาแบบนี้ในการรักษาผู้ป่วย

การเดินป่าไม่เพียงแต่ช่วยลดความเครียด แต่ยังมีผลดีต่อระบบภูมิคุ้มกันและสุขภาพจิตอีกด้วย จากข้อมูลพบว่าการสัมผัสกับธรรมชาติสามารถช่วยลดอาการซึมเศร้าและความวิตกกังวลได้ นอกจากนี้ การเดินในพื้นที่สีเขียวยังช่วยเพิ่มระดับออกซิเจนในร่างกาย ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวม

โครงการ ParkRx ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงในเซาท์ดาโกตาเท่านั้น แต่ยังมีการดำเนินการในหลายรัฐทั่วสหรัฐอเมริกา รวมถึงโปรแกรมอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกัน เช่น “แพทย์ในอุทยาน” ในบัลติมอร์ และ “ใบสั่งยาเส้นทางธรรมชาติ” ในอาบูเคอคี นอกจากนี้ ยังมีการจัดกิจกรรมพิเศษร่วมกับอุทยานแห่งชาติเพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงธรรมชาติได้มากขึ้น โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในบางวัน การนำเสนอใบสั่งยาแบบใหม่เช่น ParkRx เป็นตัวอย่างที่ดีของการผสมผสานระหว่างการแพทย์แผนปัจจุบันและแนวทางธรรมชาติ ซึ่งสามารถช่วยให้ผู้คนฟื้นฟูสุขภาพได้อย่างยั่งยืนและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

“หยุดงาน 1 วันแล้วไปเดินป่า” ใบสั่งยาแบบใหม่จากหมอ
“หยุดงาน 1 วันแล้วไปเดินป่า” ใบสั่งยาแบบใหม่จากหมอ

ทำไมคุณหมอถึงต้องจ่ายใบสั่งยาในการเดินป่า ?

1. เสริมสร้างสุขภาพกาย

การเดินป่าเป็นการออกกำลังกายที่ดี ช่วยให้ระบบหัวใจและหลอดเลือดทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเดินในธรรมชาติช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ซึ่งสามารถลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย นอกจากนี้ การเดินป่ายังช่วยสร้างกล้ามเนื้อและเพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูก ทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น

2. ปรับปรุงสุขภาพจิต

การใช้เวลาท่ามกลางธรรมชาติช่วยลดความเครียดและอาการวิตกกังวล โดยการเดินป่าจะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความสุข นอกจากนี้ การได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ ช่วยให้เราหลีกหนีจากความวุ่นวายของชีวิตประจำวัน ทำให้จิตใจสงบและมีสมาธิมากขึ้น

3. ส่งเสริมการนอนหลับที่ดี

มีงานวิจัยแสดงให้เห็นว่าการเดินป่าสามารถช่วยปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราได้สัมผัสกับแสงแดดยามเช้า ซึ่งช่วยควบคุมจังหวะการนอนของเรา การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น การเดินป่า ยังช่วยเพิ่มฮอร์โมนเมลาโทนินซึ่งมีส่วนสำคัญในการนอนหลับที่ดีขึ้น

4. สร้างความสัมพันธ์ที่ดี

การเดินป่ากับคนที่เรารักหรือเพื่อนสามารถสร้างโอกาสในการพูดคุยและทำกิจกรรมร่วมกัน โดยไม่ถูกขัดจังหวะจากสิ่งรบกวนในชีวิตประจำวัน การทำกิจกรรมร่วมกันในธรรมชาติยังช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์และทำให้เราเข้าใจกันมากขึ้น

5. กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์

การอยู่ในธรรมชาติสามารถกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์และพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหา จากการศึกษาพบว่าผู้ที่เดินในธรรมชาติมีแนวโน้มที่จะมีสมาธิและความจำดีขึ้น ความท้าทายต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินป่ายังช่วยฝึกฝนทักษะการตัดสินใจและการทำงานเป็นทีม

เตรียมตัวให้พร้อมก่อนออกเดินป่า

การเดินป่าเป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่ผู้ที่รักธรรมชาติและการออกกำลังกาย แต่การเตรียมตัวให้พร้อมก่อนออกเดินป่านั้นมีความสำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของ สุขภาพ Wellness และเรื่องของการใช้ยา การปรึกษาแพทย์เพื่อขอใบสั่งยาจะช่วยให้ผู้เดินป่าสามารถออกไปสัมผัสธรรมชาติได้อย่างปลอดภัยและมั่นใจมากขึ้น

1. การเตรียมความพร้อมทางสุขภาพ

ก่อนออกเดินป่า สิ่งสำคัญคือการประเมินสุขภาพของตนเอง หากมีโรคประจำตัวหรืออาการแพ้ต่างๆ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำในการใช้ยา เช่น ยาลดอาการแพ้ หรือยาควบคุมโรคประจำตัว เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถเดินป่าได้อย่างปลอดภัย

2. การจัดการกับอาการบาดเจ็บ

ในระหว่างการเดินป่า อาจเกิดอุบัติเหตุหรืออาการบาดเจ็บได้ เช่น ข้อเท้าพลิก หรือแผลถลอก การมีใบสั่งยาจากแพทย์จะช่วยให้สามารถเข้าถึงยาที่จำเป็น เช่น ยาแก้ปวด หรือยาฆ่าเชื้อได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย

3. การใช้ยาที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ

การใช้ยาโดยไม่มีใบสั่งจากแพทย์อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงหรือไม่สามารถรักษาอาการได้อย่างมีประสิทธิภาพ การได้รับคำแนะนำจากแพทย์จะช่วยให้เลือกใช้ยาได้ตรงตามความต้องการและเหมาะสมกับสภาพร่างกาย

4. การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม

การเดินป่าไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับร่างกาย แต่ยังรวมถึงจิตใจและอารมณ์ การมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม เช่น การควบคุมอาหาร การพักผ่อน และการจัดการกับความเครียด จะช่วยให้ผู้เดินป่าสามารถเพลิดเพลินกับกิจกรรมนี้ได้อย่างเต็มที่

ธรรมชาติ และ สุขภาพ

การเชื่อมโยงระหว่าง ธรรมชาติ และ สุขภาพ ได้รับการสนับสนุนจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มากมาย ผลการศึกษาในปี 2019 พบว่าผู้ที่ใช้เวลาอย่างน้อย 120 นาทีต่อสัปดาห์ ในธรรมชาติมีแนวโน้มสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่ใช้เวลาน้อยกว่า นอกจากนี้ยังมีการลดความดันโลหิตและความวิตกกังวล พร้อมทั้งเพิ่มความสุขในชีวิตประจำวัน 

การวิเคราะห์จากมหาวิทยาลัย East Anglia แห่งสหราชอาณาจักรซึ่งศึกษางานวิจัยมากกว่า 140 ชิ้น พบว่าการสัมผัสพื้นที่สีเขียวช่วยลดระดับคอร์ติซอลในน้ำลาย ซึ่งเป็นตัวชี้วัดระดับความเครียดที่ลดลง และยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคหัวใจ นอกจากนี้ ในเขตเมือง การมีต้นไม้หนาแน่นยังส่งผลให้ผู้คนมีภาวะสุขภาพที่ดีขึ้นและลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและเมตาบอลิกอีกด้วยค่ะ

ธรรมชาติ และ สุขภาพ
ธรรมชาติ และ สุขภาพ

 

การมีพื้นที่สีเขียวในชุมชนไม่เพียงแต่ช่วยให้ผู้คนรู้สึกดีขึ้น แต่ยังสามารถลดความโดดเดี่ยวได้ถึง 52%สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่เพียงลำพัง การอนุรักษ์ธรรมชาติจึงไม่เพียงแต่เป็นการตอบสนองต่อปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นการส่งเสริมสุขภาพกายและจิตใจอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นการ “สั่งยา” ด้วยการออกไปสัมผัสธรรมชาติอาจเป็นวิธีการดูแลรักษาสุขภาพที่มีประสิทธิภาพ โดยไม่เพียงทำให้รู้สึกว่ามีสุขภาพดี แต่สามารถทำให้มีสุขภาพดีได้จริง ดังนั้น การใช้เวลาอยู่กับธรรมชาตินั้น ควรเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวัน เช่น

  • วันละ 1 ชั่วโมง ฟังเสียงนกหรือเสียงน้ำไหล
  • สัปดาห์ละ 1 ชั่วโมง อยู่ในสวนสาธารณะที่มีต้นไม้
  • เดือนละ 1 ครั้ง เดินเข้าป่า สัมผัสแม่น้ำหรือทะเลสาบ
  • ปีละ 1 ครั้ง ใช้วันหยุดพักผ่อนทำกิจกรรมใกล้ชิดธรรมชาติ

พื้นที่สีเขียวและความเหลื่อมล้ำ : การส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี

การขาดพื้นที่สีเขียวในเมืองมีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ โดยข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า การขาดพื้นที่สีเขียวสามารถทำให้เกิดอัตราการเสียชีวิตถึง 3.3% ของประชากรโลก พื้นที่สีเขียวไม่เพียงแต่เป็นสถานที่สำหรับการพักผ่อนหย่อนใจ แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพกายและจิตใจ โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ด้อยโอกาส ซึ่งมักมีข้อจำกัดในการเข้าถึงธรรมชาติและกิจกรรมทางกายภาพ

ผลกระทบของความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงพื้นที่สีเขียว

การเข้าถึงที่ไม่เท่าเทียม : ผู้ที่มีฐานะดีมักจะสามารถซื้อบ้านในย่านที่มีพื้นที่สีเขียวมากกว่า ส่งผลให้พวกเขาได้รับประโยชน์จากธรรมชาติและสุขภาพที่ดีกว่า ในขณะที่กลุ่มคนในพื้นที่ด้อยโอกาสต้องเผชิญกับการเข้าถึงสวนสาธารณะและสนามเด็กเล่นที่จำกัด ซึ่งส่งผลให้พวกเขามีโอกาสน้อยในการใช้ประโยชน์จากพื้นที่สีเขียว

การพัฒนาพื้นที่สีเขียว : การสร้างและพัฒนาพื้นที่สีเขียวในเมืองจึงเป็นวิธีหนึ่งในการลดความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพ โดย WHO แนะนำว่าทุกครัวเรือนควรมีพื้นที่สีเขียวสาธารณะที่เข้าถึงได้ขนาด 5 ตร.กม. ภายในระยะ 300 เมตรจากบ้าน

ความสำคัญของพื้นที่สีเขียวต่อสุขภาพ

ประโยชน์ทางกาย : พื้นที่สีเขียวช่วยลดความเสี่ยงของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจและเบาหวาน และยังส่งเสริมกิจกรรมทางกาย เช่น การเดิน หรือวิ่งในสวนสาธารณะ ซึ่งมีส่วนช่วยลดอัตราการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร

ประโยชน์ทางจิต : การอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติช่วยลดความเครียดและอาการวิตกกังวล เพิ่มความรู้สึกสงบและผ่อนคลาย นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ในชุมชน

แนวทางการพัฒนาพื้นที่สีเขียว : การลงทุนเพื่อพัฒนาพื้นที่สีเขียวควรเป็นส่วนหนึ่งของการวางแผนพัฒนาเมืองในอนาคต โดยต้องคำนึงถึงความหลากหลายของประชากรและการเข้าถึงพื้นที่สีเขียวอย่างเท่าเทียม เพื่อให้ทุกกลุ่มคนสามารถใช้ประโยชน์จากธรรมชาติได้อย่างเต็มที่

 

หมอโมพาเปิดวาร์ปเส้นทางเดินป่า ให้ธรรมชาติได้ดูเเลสุขภาพในวันที่อ่อนล้า

“ภาคเหนือ”

อุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก, เชียงใหม่

ขอขอบคุณรูปภาพสวยๆ จากเว็บไซต์ https://chillpainai.com/scoop/15073
ขอขอบคุณรูปภาพสวยๆ จากเว็บไซต์ https://chillpainai.com/scoop/15073

รายละเอียด
ความสูง : 2,285 m 

ค่าเข้าอุทยาน : 50 บาทต่อคน

สถานที่ติดต่อ : อุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก 224 หมู่ 6 ต.โป่งน้ำร้อน อ. ฝาง จ. เชียงใหม่ 50110

โทรศัพท์ : 053-453517 โทรสาร 05 3453 517

อีเมล์ : doiphahompok.np@hotmail.com

เฟซบุ๊ก : อุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก 

 

ดอยหลวงเชียงดาว, เชียงใหม่

ขอขอบคุณรูปภาพสวยๆ จากเว็บไซต์ https://chillpainai.com/scoop/15073
ขอขอบคุณรูปภาพสวยๆ จากเว็บไซต์ https://chillpainai.com/scoop/15073

รายละเอียด

ความสูง : 2,225 m 

ค่าเข้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว : 20 บาทต่อคน

สถานที่ติดต่อ : ดอยหลวงเชียงดาว ตำบลเชียงดาว อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ 50170 

โทรศัพท์  0-2561-4836, 0-2561-2947

เฟซบุ๊ก : เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว จ.เชียงใหม่ 

 

ม่อนจอง, เชียงใหม่

ขอขอบคุณรูปภาพสวยๆ จากเว็บไซต์ https://chillpainai.com/scoop/15073
ขอขอบคุณรูปภาพสวยๆ จากเว็บไซต์ https://chillpainai.com/scoop/15073

รายละเอียด

ความสูง : 1,925 m 

ค่าเข้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย : ผู้ใหญ่ 20 บาทต่อคน, เด็ก 10 บาทต่อคน

สถานที่ติดต่อ : เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย บ้านมูเซอปากทาง ตำบลม่อนจอง อำเภออมก่อย จังหวัดเชียงใหม่

โทรศัพท์  : 09-2559-7201 

เฟซบุ๊ก : ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวดอยม่อนจอง – บ้านมูเซอ  

 

“ภาคกลาง”

เขาโมโกจู, กำแพงเพชร

ขอขอบคุณรูปภาพสวยๆ จากเพจ www.facebook.com/boypotter01
ขอขอบคุณรูปภาพสวยๆ จากเพจ www.facebook.com/boypotter01

รายละเอียด

ความสูง : 1,950 m 

ค่าเข้าอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ : 40 บาทต่อคน

สถานที่ติดต่อ : อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ ตำบลปางตาไว อำเภอปางศิลิทอง จังหวัดกำแพงเพชร

โทรศัพท์ : 0 5576 6027

อีเมล์ : maewong_np@hotmail.com

เฟซบุ๊ก : อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ Mae Wong National Park 

 

“ภาคตะวันตก”

เขาช้างเผือก, กาจนบุรี

ขอขอบคุณรูปภาพสวยๆ จากเว็บไซต์ https://travel.trueid.net/detail/0M5bbK7ey8NB
ขอขอบคุณรูปภาพสวยๆ จากเว็บไซต์ https://travel.trueid.net/detail/0M5bbK7ey8NB

รายละเอียด

ความสูง : 1,249 m

ค่าเข้าอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ : 70 บาทต่อคน

สถานที่ติดต่อ : อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ ตู้ ปณ.18, อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี, 71180

เบอร์โทรอุทยาน : 095-6198981 / 034547020

Gmail : Thongphaphumoffice@gmail.com

 

“ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ”

ภูบักได, เลย

ขอขอบคุณรูปภาพสวยๆ จากเว็บไซต์ https://chillpainai.com/scoop/15073
ขอขอบคุณรูปภาพสวยๆ จากเว็บไซต์ https://chillpainai.com/scoop/15073

รายละเอียด

ความสูง : 1,600 m 

ค่าเข้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง : ชาวไทย ผู้ใหญ่ ๒๐ บาทต่อคน, เด็ก ๑๐ บาทต่อคน ชาวต่างประเทศ ผู้ใหญ่ ๒๐๐ บาทต่อคน, เด็ก ๑๐๐ บาทต่อคน 

โทร. 0957013139; 0878662648; 0878662648 

ที่ตั้ง : ภูบักได อ.ภูเรือ จ.เลย อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง

 

ภูกระดึง, เลย

ขอขอบคุณรูปภาพสวยๆ จากเว็บไซต์ https://chillpainai.com/scoop/15073
ขอขอบคุณรูปภาพสวยๆ จากเว็บไซต์ https://chillpainai.com/scoop/15073

รายละเอียด

ความสูง : 1,316 m

ค่าเข้าอุทยานแห่งชาติภูกระดึง : 40 บาทต่อคน

สถานที่ติดต่อ : อุทยานแห่งชาติภูกระดึง หมู่ที่ 1 บ้านศรีฐาน ต.ศรีฐาน อ.ภูกระดึง จ.เลย 42180

เบอร์อุทยาน : 0-4281-0833 / 0-4281-0834

-สามารถเดินขึ้นไปยังจุดกางเต็นท์ได้เอง โดยไม่ต้องมีเจ้าหน้าที่นำทาง

-มีร้านค้า ร้านอาหารให้บริการ

 

“ภาคใต้”

เขาหลวง, นครศรีธรรมราช

ขอขอบคุณรูปภาพสวยๆ จากเว็บไซต์ https://travel.kapook.com/view251823.html
ขอขอบคุณรูปภาพสวยๆ จากเว็บไซต์ https://travel.kapook.com/view251823.html

รายละเอียด

ความสูง : 1,835 m 

สถานที่ติดต่อ : อุทยานแห่งชาติเขาหลวง (น้ำตกกะโรม) 

โทรศัพท์ 0-7530-0494, 0-7530-0495

เฟซบุ๊ก อุทยานแห่งชาติเขาหลวง – Khao Luang National Park 


สรุป

การเดินป่าเป็นกิจกรรมที่ไม่เพียงแต่ช่วยให้ร่างกายได้ออกกำลังกาย แต่ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ที่ดี การออกไปสัมผัสธรรมชาติช่วยลดความเครียดและสร้างความเชื่อมโยงกับตัวเองและคนรอบข้าง โดยเฉพาะในยุคที่เราต้องเผชิญกับความเครียดจากชีวิตประจำวัน

การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม

ตามที่หมอโม (พญ. ชัญญาภัค ดวงใจ) จาก DR.MO Clinic กล่าว การดูแลสุขภาพควรมีองค์ประกอบหลายด้าน รวมถึงการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและการใช้เวลาในธรรมชาติเพื่อฟื้นฟูจิตใจ หากคุณรู้สึกหมดไฟหรือเหนื่อยล้า การเดินป่าอาจเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการฟื้นฟูทั้งร่างกายและจิตใจ

Social Prescribing : ใบสั่งยาเดินป่า

Social Prescribing เป็นแนวทางในการดูแลสุขภาพที่ส่งเสริมให้ผู้ป่วยเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ที่ส่งเสริมสุขภาพ เช่น การเดินป่า ซึ่งช่วยลดความเหงาและฟื้นฟูสุขภาพจิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ กิจกรรมนี้มีประโยชน์หลายประการ เช่น

  • กระฉับกระเฉงมากขึ้น: การเดินป่าช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น
  • เชื่อมโยงทางสังคม: การเดินป่ากับคนอื่นสร้างโอกาสในการสื่อสารและสร้างความสัมพันธ์ที่ดี
  • สุขภาพดีขึ้น: การใช้เวลาท่ามกลางธรรมชาติช่วยลดความดันโลหิตและเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
  • มีชีวิตที่ดีขึ้น: การสัมผัสธรรมชาติช่วยให้รู้สึกมีอิสระและหลีกหนีจากความเครียด
  • สุขภาพจิตดีขึ้น: ธรรมชาติช่วยลดอาการวิตกกังวลและซึมเศร้า

การเตรียมตัวก่อนเดินป่า

การเตรียมตัวก่อนออกเดินป่านั้นสำคัญมาก ควรตรวจสอบสุขภาพของตนเอง และหากมีโรคประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำ นอกจากนี้ ควรเตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็น เช่น น้ำดื่ม เสื้อผ้าที่เหมาะสม และรองเท้าที่เหมาะสำหรับการเดินป่า


FAQ

เกี่ยวกับ Wellness ใบสั่งยาเดินป่า

  1. การเดินป่าช่วยลดความเครียดได้อย่างไร?

การเดินป่าเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ร่างกายได้เคลื่อนไหวและสัมผัสกับธรรมชาติ ซึ่งช่วยกระตุ้นการหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ทำให้รู้สึกมีความสุขและลดความเครียดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  1. ทำไมการออกไปเดินป่าถึงดีต่อสุขภาพจิต?

การใช้เวลาท่ามกลางธรรมชาติช่วยลดอาการวิตกกังวลและซึมเศร้า โดยธรรมชาติสามารถทำให้เรารู้สึกสงบและมีสมาธิมากขึ้น นอกจากนี้ การเดินป่ายังช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้คนเมื่อทำกิจกรรมร่วมกัน

  1. Social Prescribing คืออะไร?

Social Prescribing เป็นแนวทางในการดูแลสุขภาพที่แพทย์แนะนำให้ผู้ป่วยเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคม เช่น การเดินป่า เพื่อส่งเสริมสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพายาเพียงอย่างเดียว

  1. การเดินป่ามีประโยชน์อะไรบ้าง?
  • กระฉับกระเฉงมากขึ้น : ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด
  • มีความเชื่อมโยงทางสังคม : สร้างโอกาสในการสื่อสารกับคนรอบข้าง
  • สุขภาพดีขึ้น : ลดความดันโลหิตและเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
  • มีชีวิตที่ดีขึ้น : สัมผัสกับธรรมชาติช่วยให้รู้สึกมีอิสระ
  1. ควรเตรียมตัวอย่างไรก่อนออกเดินป่า?
  • ตรวจสุขภาพ : ประเมินสุขภาพของตนเองและปรึกษาแพทย์หากมีโรคประจำตัว
  • เตรียมอุปกรณ์ : รองเท้าสำหรับเดินป่า น้ำดื่ม และอาหารว่าง
  • วางแผนเส้นทาง : เลือกเส้นทางที่เหมาะสมกับระดับความสามารถของตนเอง
  1. การเดินป่าสามารถทำได้บ่อยแค่ไหน?

ควรใช้เวลาอยู่กับธรรมชาติอย่างน้อย 120 นาทีต่อสัปดาห์ เพื่อส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี

  1. การเดินป่าสามารถช่วยในเรื่องการนอนหลับได้หรือไม่?

ใช่, การเดินป่าสามารถปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับได้ โดยเฉพาะเมื่อสัมผัสกับแสงแดดยามเช้า ซึ่งช่วยควบคุมจังหวะการนอน

เกี่ยวกับ DR.MO Clinic

  1. DR.MO Clinic มีบริการอะไรบ้างที่ช่วยชะลอวัย?

โบท็อกซ์, ฟิลเลอร์, ร้อยไหม, เมโส, เลเซอร์, ทรีทเมนท์, สารเติมเต็มผิว (Skin Booster), Indiba

  1. DR.MO Clinic ตั้งอยู่ที่ไหน?

DR.MO Clinic ตั้งอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ อยู่โครงการ Star Avenue 1 (ใกล้กับโรงเรียนมงฟอร์ตมัธยม)
Location: https://g.co/kgs/MRDzT5