
ในยุคที่ชีวิตเต็มไปด้วยความเร่งรีบและความเครียด การดูแลสุขภาพกลายเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะเมื่อเรารู้สึกหมดไฟ หรือเหนื่อยล้า การเดินป่า เป็นหนึ่งในวิธีการบำบัดที่สามารถช่วยฟื้นฟูทั้งร่างกายและจิตใจได้อย่างมีประสิทธิภาพเพราะสิ่งที่เราจะได้นั้นมากกว่าเเค่การรักษา คือ
- สัมผัสกับธรรมชาติ : การเดินป่าช่วยให้เราได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ซึ่งมีผลดีต่อสุขภาพจิต ช่วยลดความเครียดและเพิ่มความรู้สึกสงบสุขในจิตใจ
- ออกกำลังกายที่ดี : การเดินป่าเป็นการออกกำลังกายที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและระบบหัวใจ
- ลดอาการเหนื่อยล้า : หลักฐานทางวิทยาศาสตร์แสดงให้เห็นว่าการใช้ธรรมชาติมาเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพสามารถช่วยลดอาการเหนื่อยล้าและเพิ่มพลังงานได้อย่างรวดเร็ว
- กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน :
การใช้เวลาในธรรมชาติยังช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ส่งเสริมสุขภาพจิตที่ดีมากขึ้น
การออกไปเดินป่าไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณได้พักผ่อนจากความเครียดในชีวิตประจำวัน แต่ยังเป็นโอกาสในการเชื่อมต่อกับตัวเองและคนรอบข้างในบรรยากาศที่ผ่อนคลาย หมอโม (พญ. ชัญญาภัค ดวงใจ) จาก DR.MO Clinic ขอแนะนำว่า “การดูแลสุขภาพควรมีองค์ประกอบหลายด้าน รวมถึงการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการใช้เวลาในธรรมชาติเพื่อฟื้นฟูจิตใจ ด้วยเหตุนี้ หากคุณรู้สึกหมดไฟหรือเหนื่อยล้า ลองออกไปเดินป่ากันค่ะ อาจจะเป็นใบสั่งยาที่คุณต้องการเพื่อฟื้นฟูทั้งร่างกายและจิตใจอย่างแท้จริงได้ค่ะ
Social Prescribing แนวทางในการดูแลสุขภาพ
Social Prescribing เป็นกระบวนการที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ เช่น แพทย์และพยาบาล ส่งต่อผู้ป่วยไปยังกลุ่มหรือองค์กรที่ให้บริการนอกเหนือจากการรักษาทางการแพทย์ เพื่อให้ผู้ป่วยได้ทำกิจกรรมที่จะส่งเสริมสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ เช่น การทำสวน การอ่านหนังสือ และการออกกำลังกาย ฯลฯ กิจกรรมเหล่านี้ช่วยให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในสังคมและลดความเหงา รวมถึงช่วยฟื้นฟูสุขภาพจิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ การสั่งจ่ายยาทางสังคมไม่เพียงแต่ช่วยให้ผู้ป่วยมีสุขภาวะที่ดีขึ้น แต่ยังมีประโยชน์หลายประการ เช่น
-
กระฉับกระเฉงมากขึ้น
การเดินป่าเป็นกิจกรรมที่ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นและกระฉับกระเฉงมากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและระบบหัวใจ
-
มีความเชื่อมโยงทางสังคมขึ้น
การเดินป่ากับเพื่อนหรือครอบครัวสร้างโอกาสในการสื่อสารและสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ช่วยให้เรามีความสุขและรู้สึกถึงการสนับสนุนจากคนรอบข้าง
-
สุขภาพดีขึ้น
การใช้เวลาท่ามกลางธรรมชาติช่วยลดความดันโลหิต และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้เรามีสุขภาพที่ดีขึ้นในระยะยาว
-
มีชีวิตที่ดีและมีอิสระมากขึ้น
การเดินป่าเปิดโอกาสให้เราได้สัมผัสกับธรรมชาติอย่างแท้จริง ช่วยให้เรารู้สึกมีอิสระ และสามารถหลีกหนีจากความเครียดในชีวิตประจำวันได้
-
สุขภาพจิตดีขึ้น
ธรรมชาติเป็นยาที่ดีที่สุดสำหรับจิตใจ การเดินป่าช่วยลดอาการวิตกกังวลและซึมเศร้า ทำให้เรารู้สึกสงบและมีสมาธิมากขึ้น
-
มีสภาพการเงินดีขึ้น
การใช้เวลาหยุดงานเพื่อไปเดินป่าไม่จำเป็นต้องใช้เงินมาก เพียงแค่เตรียมตัวให้พร้อมก็สามารถสนุกกับกิจกรรมนี้ได้ ทำให้เราไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงในการพักผ่อน

ติดตามข้อมูลข่าวสารเรื่องสุขภาพที่ เพจ : หมอโม อโรคา l Doctor Mo Story
Social Prescribing จ่ายยาด้วยกิจกรรม สู่ทางเลือกใหม่ “ใบสั่งยาเดินป่า”
การที่เราต้องเผชิญกับความเครียดและปัญหาสุขภาพจิตที่เพิ่มขึ้น การดูแลสุขภาพด้วยวิธีการที่แตกต่างออกไปเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น หนึ่งในแนวทางที่น่าสนใจคือ Social Prescribing หรือการสั่งจ่ายยาด้วยกิจกรรมทางสังคม ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้ผู้ป่วยเข้าร่วมกิจกรรมที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพกายและใจ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพายาเพียงอย่างเดียว
กิจกรรมที่เน้นธรรมชาติ
หนึ่งในชุดกิจกรรมที่ได้รับความนิยมคือ กิจกรรมที่เน้นธรรมชาติ เช่น การเดินป่า ซึ่งช่วยให้ผู้เข้าร่วมได้สัมผัสกับธรรมชาติและฟื้นฟูทั้งร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่เราใช้ชีวิตในเมืองมากขึ้น การได้ออกไปสัมผัสธรรมชาติสามารถทำให้รู้สึกสงบและผ่อนคลาย “ใบสั่งยาเดินป่า” ไม่ใช่เพียงแค่การหยุดพักผ่อน แต่เป็นแนวทางใหม่ในการดูแลสุขภาพที่สามารถช่วยให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้น ผ่านการสัมผัสธรรมชาติและการทำกิจกรรมทางสังคม ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพแบบองค์รวม
การสั่งจ่ายยาด้วยธรรมชาติ (Nature Prescription) เทรนด์สุขภาพ Wellness ที่กำลังมาแรงทั่วโลก
การสั่งจ่ายยาด้วยการให้ออกไปพบธรรมชาติ (Prescribing nature) ถูกจัดให้เป็น 1 ใน 8 เทรนด์ด้านสุขภาพและสุขภาวะ (Global Wellness Trend) ประจำปี 2019 แต่การใช้ธรรมชาติบำบัดไม่ใช่เรื่องใหม่
การอาบป่า (Forest Bathing)

ในญี่ปุ่นได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจให้ปกติและลดความดันโลหิต ลดการผลิตฮอร์โมนความเครียด เพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน และส่งเสริมสภาพจิตใจที่ดี การอาบป่า โดยพื้นฐานแล้วคือการใช้เวลาอยู่ท่ามกลางต้นไม้ สัมผัสธรรมชาติ กิจกรรมนี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของโครงการสาธารณสุขแห่งชาติในญี่ปุ่นในปี 1982 เมื่อกระทรวงป่าไม้ได้บัญญัติวลี shinrin-yoku (Shinrin แปลว่า ป่า และ Yoku แปลว่า อาบ) และส่งเสริมเส้นทางเดินเข้าป่าเพื่อกิจกรรมอาบป่าบำบัด การบำบัดวิธีนี้ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายจนถึงปัจจุบัน ไม่เพียงแต่ในญี่ปุ่น แต่เป็นวิธีการรักษาที่ได้รับการยอมรับในโลกตะวันตก เช่น สหรัฐอเมริกา ด้วย และในประเทศไทยเอง ก็มีกลุ่มบุคคลที่จัดกิจกรรมให้ผู้ที่สนใจเข้าร่วม เช่น กลุ่มอาบป่ากาญจนบุรี
โปรแกรม Park Prescription (ParkRx) หรือ การสั่งจ่ายยาให้เดินป่า
เป็นแนวทางที่เกิดขึ้นเพื่อส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี โดยมีการดำเนินการในสวนสาธารณะและอุทยานแห่งชาติทั่วสหรัฐอเมริกามากกว่า 35 รัฐ โปรแกรมนี้ได้รับการสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ ผู้ดูแลพื้นที่ป่า และองค์กรต่างๆ ที่มุ่งหวังให้ประชาชนได้สัมผัสกับธรรมชาติและประโยชน์ต่อสุขภาพจากการใช้เวลานอกบ้าน
ในปี 2013 มีการจัดตั้งโครงการระดับชาติในชื่อ National ParkRx Initiative และ Park Rx America เพื่อรวมโปรแกรมสุขภาพที่กระจัดกระจายอยู่ให้มีความเป็นระบบและสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดยมีฐานข้อมูลเครือข่ายการจ่ายยาให้เดินป่าบนเว็บไซต์ ParkRx.org ปัจจุบัน สหรัฐอเมริกามีโปรแกรม ParkRx มากกว่า 75-100 แห่ง ซึ่งได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในการส่งเสริมสุขภาพทั้งทางกายและจิตใจ
การใช้ธรรมชาติในการรักษาไม่เพียงแต่ช่วยลดความเครียด แต่ยังช่วยปรับปรุงสุขภาพโดยรวม เช่น ลดระดับคอร์ติซอล ลดความดันโลหิต และส่งเสริมสุขภาพหัวใจ การออกกำลังกายกลางแจ้ง เช่น การเดิน สามารถทำให้ผู้เข้าร่วมรู้สึกสดชื่นและมีพลังมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทำร่วมกับกิจกรรมกลุ่มหรือกับครอบครัว
แนวทางและกิจกรรมหลัก
การสั่งจ่ายยาด้วยธรรมชาติมีความน่าสนใจเนื่องจากสามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่ เช่น สวนสาธารณะและพื้นที่กลางแจ้ง เพื่อสร้างพฤติกรรมสุขภาพที่ดีขึ้น โดยไม่ต้องลงทุนในโครงสร้างหรืออุปกรณ์ใหม่ กิจกรรมหลักที่รวมอยู่ในโปรแกรมนี้ ได้แก่
-
งานอนุรักษ์ธรรมชาติ (Conservation)
-
การสัมผัสความเป็นป่า (Wilderness Focused)
-
การปลูกพืชและทำสวน (Horticulture and Gardening)
-
ดูแลสัตว์ในฟาร์ม (Care Farming)
-
การออกกำลังกายแบบธรรมชาติ (Exercise Focused)
-
การเล่นกีฬาที่ได้สัมผัสธรรมชาติ (Sport Aligned)
-
การชื่นชมธรรมชาติ (Nature Appreciation)
-
กิจกรรมที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity Focused)
-
บูรณาการการบำบัดทางเลือก (Integrating Alternative Therapies)
-
บูรณาการการบำบัดด้วยการพูดคุย (Integrating Talking Therapies)
การใช้ธรรมชาติเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการรักษาไม่เพียงแต่ช่วยลดความเครียด แต่ยังส่งผลดีต่อสุขภาพกายและจิตใจ เช่น การอาบป่า (Forest Bathing) ที่ช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิต นอกจากนี้ การใช้เวลาอยู่กับธรรมชาติอย่างน้อย 2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ยังช่วยส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งแพทย์และผู้ให้บริการด้านสุขภาพสามารถใช้แนวทางนี้เป็นตัวเลือกในการรักษาผู้ป่วย โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ผู้คนต้องเผชิญกับความเครียดจากสถานการณ์ต่างๆ ทำให้หลายคนเริ่มเห็นคุณค่าของธรรมชาติมากขึ้น โดยรวมแล้ว การสั่งจ่ายยาด้วยธรรมชาติเป็นแนวทางที่มีศักยภาพในการส่งเสริมสุขภาพแบบองค์รวม และช่วยให้ผู้คนกลับไปสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมที่มีประโยชน์ต่อทั้งร่างกายและจิตใจได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง
“หยุดงาน 1 วันแล้วไปเดินป่า” ใบสั่งยาแบบใหม่จากหมอ
ในรัฐเซาท์ดาโกตา สหรัฐอเมริกา ได้มีการเปิดตัวโครงการใหม่ที่เรียกว่า ParkRx หรือ “ใบสั่งยาให้ไปเดินป่า” ซึ่งเป็นแนวทางการรักษาที่ไม่เพียงแต่เน้นการใช้ยา แต่ยังส่งเสริมให้ผู้ป่วยได้สัมผัสกับธรรมชาติ โดยแพทย์จะออกใบสั่งให้ผู้ป่วยหยุดงาน 1 วัน เพื่อไปเยี่ยมชมอุทยานหรือสวนสาธารณะ
โครงการนี้เริ่มต้นจากความเข้าใจว่า การใช้เวลาท่ามกลางธรรมชาติสามารถช่วยฟื้นฟูสุขภาพกายและจิตใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในยุคที่ผู้คนต้องเผชิญกับความเครียดและภาวะซึมเศร้า ตั้งแต่ปี 2558 ที่เริ่มมีการนำร่อง จนถึงปี 2560 ได้มีการร่วมมือระหว่างกรมสุขภาพของรัฐและกลุ่มสวน-ตกปลา-กีฬาแห่งเซาท์ดาโกตา เพื่อกระตุ้นให้แพทย์ทั่วรัฐเริ่มใช้ใบสั่งยาแบบนี้ในการรักษาผู้ป่วย
การเดินป่าไม่เพียงแต่ช่วยลดความเครียด แต่ยังมีผลดีต่อระบบภูมิคุ้มกันและสุขภาพจิตอีกด้วย จากข้อมูลพบว่าการสัมผัสกับธรรมชาติสามารถช่วยลดอาการซึมเศร้าและความวิตกกังวลได้ นอกจากนี้ การเดินในพื้นที่สีเขียวยังช่วยเพิ่มระดับออกซิเจนในร่างกาย ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวม
โครงการ ParkRx ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงในเซาท์ดาโกตาเท่านั้น แต่ยังมีการดำเนินการในหลายรัฐทั่วสหรัฐอเมริกา รวมถึงโปรแกรมอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกัน เช่น “แพทย์ในอุทยาน” ในบัลติมอร์ และ “ใบสั่งยาเส้นทางธรรมชาติ” ในอาบูเคอคี นอกจากนี้ ยังมีการจัดกิจกรรมพิเศษร่วมกับอุทยานแห่งชาติเพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงธรรมชาติได้มากขึ้น โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในบางวัน การนำเสนอใบสั่งยาแบบใหม่เช่น ParkRx เป็นตัวอย่างที่ดีของการผสมผสานระหว่างการแพทย์แผนปัจจุบันและแนวทางธรรมชาติ ซึ่งสามารถช่วยให้ผู้คนฟื้นฟูสุขภาพได้อย่างยั่งยืนและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ทำไมคุณหมอถึงต้องจ่ายใบสั่งยาในการเดินป่า ?
1. เสริมสร้างสุขภาพกาย
การเดินป่าเป็นการออกกำลังกายที่ดี ช่วยให้ระบบหัวใจและหลอดเลือดทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเดินในธรรมชาติช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ซึ่งสามารถลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย นอกจากนี้ การเดินป่ายังช่วยสร้างกล้ามเนื้อและเพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูก ทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น
2. ปรับปรุงสุขภาพจิต
การใช้เวลาท่ามกลางธรรมชาติช่วยลดความเครียดและอาการวิตกกังวล โดยการเดินป่าจะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความสุข นอกจากนี้ การได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ ช่วยให้เราหลีกหนีจากความวุ่นวายของชีวิตประจำวัน ทำให้จิตใจสงบและมีสมาธิมากขึ้น
3. ส่งเสริมการนอนหลับที่ดี
มีงานวิจัยแสดงให้เห็นว่าการเดินป่าสามารถช่วยปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราได้สัมผัสกับแสงแดดยามเช้า ซึ่งช่วยควบคุมจังหวะการนอนของเรา การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น การเดินป่า ยังช่วยเพิ่มฮอร์โมนเมลาโทนินซึ่งมีส่วนสำคัญในการนอนหลับที่ดีขึ้น
4. สร้างความสัมพันธ์ที่ดี
การเดินป่ากับคนที่เรารักหรือเพื่อนสามารถสร้างโอกาสในการพูดคุยและทำกิจกรรมร่วมกัน โดยไม่ถูกขัดจังหวะจากสิ่งรบกวนในชีวิตประจำวัน การทำกิจกรรมร่วมกันในธรรมชาติยังช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์และทำให้เราเข้าใจกันมากขึ้น
5. กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์
การอยู่ในธรรมชาติสามารถกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์และพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหา จากการศึกษาพบว่าผู้ที่เดินในธรรมชาติมีแนวโน้มที่จะมีสมาธิและความจำดีขึ้น ความท้าทายต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินป่ายังช่วยฝึกฝนทักษะการตัดสินใจและการทำงานเป็นทีม
เตรียมตัวให้พร้อมก่อนออกเดินป่า
การเดินป่าเป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่ผู้ที่รักธรรมชาติและการออกกำลังกาย แต่การเตรียมตัวให้พร้อมก่อนออกเดินป่านั้นมีความสำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของ สุขภาพ Wellness และเรื่องของการใช้ยา การปรึกษาแพทย์เพื่อขอใบสั่งยาจะช่วยให้ผู้เดินป่าสามารถออกไปสัมผัสธรรมชาติได้อย่างปลอดภัยและมั่นใจมากขึ้น
1. การเตรียมความพร้อมทางสุขภาพ
ก่อนออกเดินป่า สิ่งสำคัญคือการประเมินสุขภาพของตนเอง หากมีโรคประจำตัวหรืออาการแพ้ต่างๆ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำในการใช้ยา เช่น ยาลดอาการแพ้ หรือยาควบคุมโรคประจำตัว เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถเดินป่าได้อย่างปลอดภัย
2. การจัดการกับอาการบาดเจ็บ
ในระหว่างการเดินป่า อาจเกิดอุบัติเหตุหรืออาการบาดเจ็บได้ เช่น ข้อเท้าพลิก หรือแผลถลอก การมีใบสั่งยาจากแพทย์จะช่วยให้สามารถเข้าถึงยาที่จำเป็น เช่น ยาแก้ปวด หรือยาฆ่าเชื้อได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย
3. การใช้ยาที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ
การใช้ยาโดยไม่มีใบสั่งจากแพทย์อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงหรือไม่สามารถรักษาอาการได้อย่างมีประสิทธิภาพ การได้รับคำแนะนำจากแพทย์จะช่วยให้เลือกใช้ยาได้ตรงตามความต้องการและเหมาะสมกับสภาพร่างกาย
4. การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม
การเดินป่าไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับร่างกาย แต่ยังรวมถึงจิตใจและอารมณ์ การมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม เช่น การควบคุมอาหาร การพักผ่อน และการจัดการกับความเครียด จะช่วยให้ผู้เดินป่าสามารถเพลิดเพลินกับกิจกรรมนี้ได้อย่างเต็มที่
ธรรมชาติ และ สุขภาพ
การเชื่อมโยงระหว่าง ธรรมชาติ และ สุขภาพ ได้รับการสนับสนุนจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มากมาย ผลการศึกษาในปี 2019 พบว่าผู้ที่ใช้เวลาอย่างน้อย 120 นาทีต่อสัปดาห์ ในธรรมชาติมีแนวโน้มสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่ใช้เวลาน้อยกว่า นอกจากนี้ยังมีการลดความดันโลหิตและความวิตกกังวล พร้อมทั้งเพิ่มความสุขในชีวิตประจำวัน
การวิเคราะห์จากมหาวิทยาลัย East Anglia แห่งสหราชอาณาจักรซึ่งศึกษางานวิจัยมากกว่า 140 ชิ้น พบว่าการสัมผัสพื้นที่สีเขียวช่วยลดระดับคอร์ติซอลในน้ำลาย ซึ่งเป็นตัวชี้วัดระดับความเครียดที่ลดลง และยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคหัวใจ นอกจากนี้ ในเขตเมือง การมีต้นไม้หนาแน่นยังส่งผลให้ผู้คนมีภาวะสุขภาพที่ดีขึ้นและลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและเมตาบอลิกอีกด้วยค่ะ

การมีพื้นที่สีเขียวในชุมชนไม่เพียงแต่ช่วยให้ผู้คนรู้สึกดีขึ้น แต่ยังสามารถลดความโดดเดี่ยวได้ถึง 52%สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่เพียงลำพัง การอนุรักษ์ธรรมชาติจึงไม่เพียงแต่เป็นการตอบสนองต่อปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นการส่งเสริมสุขภาพกายและจิตใจอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นการ “สั่งยา” ด้วยการออกไปสัมผัสธรรมชาติอาจเป็นวิธีการดูแลรักษาสุขภาพที่มีประสิทธิภาพ โดยไม่เพียงทำให้รู้สึกว่ามีสุขภาพดี แต่สามารถทำให้มีสุขภาพดีได้จริง ดังนั้น การใช้เวลาอยู่กับธรรมชาตินั้น ควรเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวัน เช่น
- วันละ 1 ชั่วโมง ฟังเสียงนกหรือเสียงน้ำไหล
- สัปดาห์ละ 1 ชั่วโมง อยู่ในสวนสาธารณะที่มีต้นไม้
- เดือนละ 1 ครั้ง เดินเข้าป่า สัมผัสแม่น้ำหรือทะเลสาบ
- ปีละ 1 ครั้ง ใช้วันหยุดพักผ่อนทำกิจกรรมใกล้ชิดธรรมชาติ
พื้นที่สีเขียวและความเหลื่อมล้ำ : การส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี
การขาดพื้นที่สีเขียวในเมืองมีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ โดยข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า การขาดพื้นที่สีเขียวสามารถทำให้เกิดอัตราการเสียชีวิตถึง 3.3% ของประชากรโลก พื้นที่สีเขียวไม่เพียงแต่เป็นสถานที่สำหรับการพักผ่อนหย่อนใจ แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพกายและจิตใจ โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ด้อยโอกาส ซึ่งมักมีข้อจำกัดในการเข้าถึงธรรมชาติและกิจกรรมทางกายภาพ
ผลกระทบของความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงพื้นที่สีเขียว
การเข้าถึงที่ไม่เท่าเทียม : ผู้ที่มีฐานะดีมักจะสามารถซื้อบ้านในย่านที่มีพื้นที่สีเขียวมากกว่า ส่งผลให้พวกเขาได้รับประโยชน์จากธรรมชาติและสุขภาพที่ดีกว่า ในขณะที่กลุ่มคนในพื้นที่ด้อยโอกาสต้องเผชิญกับการเข้าถึงสวนสาธารณะและสนามเด็กเล่นที่จำกัด ซึ่งส่งผลให้พวกเขามีโอกาสน้อยในการใช้ประโยชน์จากพื้นที่สีเขียว
การพัฒนาพื้นที่สีเขียว : การสร้างและพัฒนาพื้นที่สีเขียวในเมืองจึงเป็นวิธีหนึ่งในการลดความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพ โดย WHO แนะนำว่าทุกครัวเรือนควรมีพื้นที่สีเขียวสาธารณะที่เข้าถึงได้ขนาด 5 ตร.กม. ภายในระยะ 300 เมตรจากบ้าน
ความสำคัญของพื้นที่สีเขียวต่อสุขภาพ
ประโยชน์ทางกาย : พื้นที่สีเขียวช่วยลดความเสี่ยงของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจและเบาหวาน และยังส่งเสริมกิจกรรมทางกาย เช่น การเดิน หรือวิ่งในสวนสาธารณะ ซึ่งมีส่วนช่วยลดอัตราการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร
ประโยชน์ทางจิต : การอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติช่วยลดความเครียดและอาการวิตกกังวล เพิ่มความรู้สึกสงบและผ่อนคลาย นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ในชุมชน
แนวทางการพัฒนาพื้นที่สีเขียว : การลงทุนเพื่อพัฒนาพื้นที่สีเขียวควรเป็นส่วนหนึ่งของการวางแผนพัฒนาเมืองในอนาคต โดยต้องคำนึงถึงความหลากหลายของประชากรและการเข้าถึงพื้นที่สีเขียวอย่างเท่าเทียม เพื่อให้ทุกกลุ่มคนสามารถใช้ประโยชน์จากธรรมชาติได้อย่างเต็มที่
หมอโมพาเปิดวาร์ปเส้นทางเดินป่า ให้ธรรมชาติได้ดูเเลสุขภาพในวันที่อ่อนล้า
“ภาคเหนือ”
อุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก, เชียงใหม่

รายละเอียด
ความสูง : 2,285 m
ค่าเข้าอุทยาน : 50 บาทต่อคน
สถานที่ติดต่อ : อุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก 224 หมู่ 6 ต.โป่งน้ำร้อน อ. ฝาง จ. เชียงใหม่ 50110
โทรศัพท์ : 053-453517 โทรสาร 05 3453 517
อีเมล์ : doiphahompok.np@hotmail.com
เฟซบุ๊ก : อุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก
ดอยหลวงเชียงดาว, เชียงใหม่

รายละเอียด
ความสูง : 2,225 m
ค่าเข้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว : 20 บาทต่อคน
สถานที่ติดต่อ : ดอยหลวงเชียงดาว ตำบลเชียงดาว อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ 50170
โทรศัพท์ 0-2561-4836, 0-2561-2947
เฟซบุ๊ก : เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว จ.เชียงใหม่
ม่อนจอง, เชียงใหม่

รายละเอียด
ความสูง : 1,925 m
ค่าเข้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย : ผู้ใหญ่ 20 บาทต่อคน, เด็ก 10 บาทต่อคน
สถานที่ติดต่อ : เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย บ้านมูเซอปากทาง ตำบลม่อนจอง อำเภออมก่อย จังหวัดเชียงใหม่
โทรศัพท์ : 09-2559-7201
เฟซบุ๊ก : ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวดอยม่อนจอง – บ้านมูเซอ
“ภาคกลาง”
เขาโมโกจู, กำแพงเพชร

รายละเอียด
ความสูง : 1,950 m
ค่าเข้าอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ : 40 บาทต่อคน
สถานที่ติดต่อ : อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ ตำบลปางตาไว อำเภอปางศิลิทอง จังหวัดกำแพงเพชร
โทรศัพท์ : 0 5576 6027
อีเมล์ : maewong_np@hotmail.com
เฟซบุ๊ก : อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ Mae Wong National Park
“ภาคตะวันตก”
เขาช้างเผือก, กาจนบุรี

รายละเอียด
ความสูง : 1,249 m
ค่าเข้าอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ : 70 บาทต่อคน
สถานที่ติดต่อ : อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ ตู้ ปณ.18, อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี, 71180
เบอร์โทรอุทยาน : 095-6198981 / 034547020
Gmail : Thongphaphumoffice@gmail.com
“ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ”
ภูบักได, เลย

รายละเอียด
ความสูง : 1,600 m
ค่าเข้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง : ชาวไทย ผู้ใหญ่ ๒๐ บาทต่อคน, เด็ก ๑๐ บาทต่อคน ชาวต่างประเทศ ผู้ใหญ่ ๒๐๐ บาทต่อคน, เด็ก ๑๐๐ บาทต่อคน
โทร. 0957013139; 0878662648; 0878662648
ที่ตั้ง : ภูบักได อ.ภูเรือ จ.เลย อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง
ภูกระดึง, เลย

รายละเอียด
ความสูง : 1,316 m
ค่าเข้าอุทยานแห่งชาติภูกระดึง : 40 บาทต่อคน
สถานที่ติดต่อ : อุทยานแห่งชาติภูกระดึง หมู่ที่ 1 บ้านศรีฐาน ต.ศรีฐาน อ.ภูกระดึง จ.เลย 42180
เบอร์อุทยาน : 0-4281-0833 / 0-4281-0834
-สามารถเดินขึ้นไปยังจุดกางเต็นท์ได้เอง โดยไม่ต้องมีเจ้าหน้าที่นำทาง
-มีร้านค้า ร้านอาหารให้บริการ
“ภาคใต้”
เขาหลวง, นครศรีธรรมราช

รายละเอียด
ความสูง : 1,835 m
สถานที่ติดต่อ : อุทยานแห่งชาติเขาหลวง (น้ำตกกะโรม)
โทรศัพท์ 0-7530-0494, 0-7530-0495
เฟซบุ๊ก อุทยานแห่งชาติเขาหลวง – Khao Luang National Park
สรุป
การเดินป่าเป็นกิจกรรมที่ไม่เพียงแต่ช่วยให้ร่างกายได้ออกกำลังกาย แต่ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ที่ดี การออกไปสัมผัสธรรมชาติช่วยลดความเครียดและสร้างความเชื่อมโยงกับตัวเองและคนรอบข้าง โดยเฉพาะในยุคที่เราต้องเผชิญกับความเครียดจากชีวิตประจำวัน
การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม
ตามที่หมอโม (พญ. ชัญญาภัค ดวงใจ) จาก DR.MO Clinic กล่าว การดูแลสุขภาพควรมีองค์ประกอบหลายด้าน รวมถึงการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและการใช้เวลาในธรรมชาติเพื่อฟื้นฟูจิตใจ หากคุณรู้สึกหมดไฟหรือเหนื่อยล้า การเดินป่าอาจเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการฟื้นฟูทั้งร่างกายและจิตใจ
Social Prescribing : ใบสั่งยาเดินป่า
Social Prescribing เป็นแนวทางในการดูแลสุขภาพที่ส่งเสริมให้ผู้ป่วยเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ที่ส่งเสริมสุขภาพ เช่น การเดินป่า ซึ่งช่วยลดความเหงาและฟื้นฟูสุขภาพจิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ กิจกรรมนี้มีประโยชน์หลายประการ เช่น
- กระฉับกระเฉงมากขึ้น: การเดินป่าช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น
- เชื่อมโยงทางสังคม: การเดินป่ากับคนอื่นสร้างโอกาสในการสื่อสารและสร้างความสัมพันธ์ที่ดี
- สุขภาพดีขึ้น: การใช้เวลาท่ามกลางธรรมชาติช่วยลดความดันโลหิตและเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
- มีชีวิตที่ดีขึ้น: การสัมผัสธรรมชาติช่วยให้รู้สึกมีอิสระและหลีกหนีจากความเครียด
- สุขภาพจิตดีขึ้น: ธรรมชาติช่วยลดอาการวิตกกังวลและซึมเศร้า
การเตรียมตัวก่อนเดินป่า
การเตรียมตัวก่อนออกเดินป่านั้นสำคัญมาก ควรตรวจสอบสุขภาพของตนเอง และหากมีโรคประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำ นอกจากนี้ ควรเตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็น เช่น น้ำดื่ม เสื้อผ้าที่เหมาะสม และรองเท้าที่เหมาะสำหรับการเดินป่า
FAQ
เกี่ยวกับ Wellness ใบสั่งยาเดินป่า
- การเดินป่าช่วยลดความเครียดได้อย่างไร?
การเดินป่าเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ร่างกายได้เคลื่อนไหวและสัมผัสกับธรรมชาติ ซึ่งช่วยกระตุ้นการหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ทำให้รู้สึกมีความสุขและลดความเครียดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ทำไมการออกไปเดินป่าถึงดีต่อสุขภาพจิต?
การใช้เวลาท่ามกลางธรรมชาติช่วยลดอาการวิตกกังวลและซึมเศร้า โดยธรรมชาติสามารถทำให้เรารู้สึกสงบและมีสมาธิมากขึ้น นอกจากนี้ การเดินป่ายังช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้คนเมื่อทำกิจกรรมร่วมกัน
- Social Prescribing คืออะไร?
Social Prescribing เป็นแนวทางในการดูแลสุขภาพที่แพทย์แนะนำให้ผู้ป่วยเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคม เช่น การเดินป่า เพื่อส่งเสริมสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพายาเพียงอย่างเดียว
- การเดินป่ามีประโยชน์อะไรบ้าง?
- กระฉับกระเฉงมากขึ้น : ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด
- มีความเชื่อมโยงทางสังคม : สร้างโอกาสในการสื่อสารกับคนรอบข้าง
- สุขภาพดีขึ้น : ลดความดันโลหิตและเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
- มีชีวิตที่ดีขึ้น : สัมผัสกับธรรมชาติช่วยให้รู้สึกมีอิสระ
- ควรเตรียมตัวอย่างไรก่อนออกเดินป่า?
- ตรวจสุขภาพ : ประเมินสุขภาพของตนเองและปรึกษาแพทย์หากมีโรคประจำตัว
- เตรียมอุปกรณ์ : รองเท้าสำหรับเดินป่า น้ำดื่ม และอาหารว่าง
- วางแผนเส้นทาง : เลือกเส้นทางที่เหมาะสมกับระดับความสามารถของตนเอง
- การเดินป่าสามารถทำได้บ่อยแค่ไหน?
ควรใช้เวลาอยู่กับธรรมชาติอย่างน้อย 120 นาทีต่อสัปดาห์ เพื่อส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี
- การเดินป่าสามารถช่วยในเรื่องการนอนหลับได้หรือไม่?
ใช่, การเดินป่าสามารถปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับได้ โดยเฉพาะเมื่อสัมผัสกับแสงแดดยามเช้า ซึ่งช่วยควบคุมจังหวะการนอน
เกี่ยวกับ DR.MO Clinic
- DR.MO Clinic มีบริการอะไรบ้างที่ช่วยชะลอวัย?
โบท็อกซ์, ฟิลเลอร์, ร้อยไหม, เมโส, เลเซอร์, ทรีทเมนท์, สารเติมเต็มผิว (Skin Booster), Indiba
- DR.MO Clinic ตั้งอยู่ที่ไหน?
DR.MO Clinic ตั้งอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ อยู่โครงการ Star Avenue 1 (ใกล้กับโรงเรียนมงฟอร์ตมัธยม)
Location: https://g.co/kgs/MRDzT5